ปัญหาและขีดจำกัดของมือถือยุคนี้คือแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจนเสียเวลาชาร์จนาน ทำให้เทคโนโลยีชาร์จเร็วกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ ซึ่งมือถือแต่ละค่ายก็มีมาตรฐานชาร์จเร็วของตัวเอง พอทำของตัวเองก็เลยเริ่มเยอะ เริ่มสับสน ดังนั้นเราจะมาดูกันว่าการชาร์จเร็วมีแบบไหนบ้าง รวมถึงแนวทางการป้องกันแบตเตอรี่เสื่อมด้วย
Highlight
- มีหลายแบรนด์ทำระบบชาร์จเร็วออกมาใช้ แต่ USB-PD คือมาตรฐานกลางที่ได้รับการรับรองโดย USB Implementers Forum เองเลย
- ค่ายที่รองรับมาตรฐาน USB-PD ได้แก่ Qualcomm, Apple, MediaTek, Google, Apple
- การทดสอบจาก Hometop สรุปว่า Huawei ชาร์จได้เร็วที่สุด และทุกค่ายจะร้อนในช่วงแรกที่ชาร์จก่อนจะลดความร้อนลงมา ในกรณีที่ชาร์จพร้อมกับใช้งานมือถือแต่ละค่ายจะมีระยะเวลาชาร์จใกล้เคียงกัน ยกเว้น Samsung ที่ชาร์จช้ากว่าค่ายอื่นราว 2 เท่าแต่ก็ร้อนน้อยกว่าเช่นกัน
- การถนอมแบตเตอรี่เพื่อป้องกันแบตเสื่อม
- ไม่ควรชาร์จพร้อมกับใช้งาน
- ไม่ควรเสียบชาร์จข้ามคืน
- ควรชาร์จในช่วง 60-80%
- Qnovo เป็นเทคโนโลยีป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม ซึ่งมีใน Sony และได้รับการยอมรับจนล่าสุด Intel และ Qualcomm Snapdragon ก็ร่วมวงด้วย
มาตรฐานชาร์จไวในปัจจุบัน
Huawei SuperCharge เป็นเทคโนโลยีชาร์จเร็วจาก Huawei เพื่อใช้กับมือถือของตัวเอง โดยใช้ Super Charge Protocal (SCP) ในการสื่อสารกับอแดปเตอร์โดยตรง ซึ่ง Huawei เคลมว่าปลอดภัยกว่า และสร้างความร้อนน้อยกว่า ล่าสุดได้จับมือกับสถาบัน TÜV Rheinland จากเยอรมันเพื่อมาตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยให้เทคโนโลยีนี้ด้วย- ชาร์จเร็วสูงสุด 5V, 4.5A
- ต้องใช้ร่วมกับหัวชาร์จและสายชาร์จที่รองรับ
![]() |
สายชาร์จสำหรับ Huawei SuperCharge |
- QC3.0 ปรับแรงดันไฟฟ้าตั้งแต่ 3.6V-20V
- QC2.0 5V/1.6A, 9V/1.6A, 12V/1.2A
- Backward Compatible รุ่นใหม่สามารถใช้งานร่วมกับรุ่นเก่าได้
- ใช้หัวชาร์จที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ แต่ใช้สายชาร์จอะไรก็ได้
- ใช้ร่วมกับ Qualcomm Quick Charge 2.0 ได้
- ใช้หัวชาร์จที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ แต่ใช้สายชาร์จอะไรก็ได้
- Pump Express 4.0 ใช้สาย USB-C ชาร์จได้สูงสุด 5A
- Pump Express 3.0 ใช้เทคโนโลยี USB-PD
- มือถือบางรุ่นสามารถใช้ร่วมกับที่ชาร์จ Qualcomm Quick Charge 2.0/3.0 ได้
- ใช้หัวชาร์จที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ แต่ใช้สายชาร์จอะไรก็ได้
- ชาร์จเร็วสูงสุด 5V/4A
- ต้องใช้ร่วมกับหัวชาร์จและสายชาร์จที่รองรับ
- ชาร์จเร็วสูงสุด 5V/4A
- ใช้ร่วมกับ VOOC Flash Charge ได้
- ต้องใช้ร่วมกับหัวชาร์จและสายชาร์จที่รองรับ
- ใช้ร่วมกับ Qualcomm Quick Charge ได้
- ใช้ร่วมกับ USB-PD ได้
มาตรฐาน USB-PD ที่ได้รับการยอมรับที่สุด
- ชาร์จเร็วสูงสุดถึง 100W แต่การใช้จริงอาจไม่ถึง 100W ขึ้นอยู่กับการปรับแต่งของผู้ผลิตแต่ละราย และประสิทธิภาพของหัวชาร์จ
- ไม่จำกัดทิศทางการชาร์จไฟ หมายความว่าสามารถนำสมาร์ทโฟนเสียบชาร์จสมาร์ทโฟนอีกเครื่องผ่านเทคโนโลยี USB-PD ได้เลย
- นอกจากจะชาร์จเร็วแล้ว ยังรองรับอุปกรณ์ที่ต้องการไฟน้อยๆ อย่างเช่นหูฟังอีกด้วย
ความเร็วในการชาร์จของมาตรฐานแต่ละแบบ
ความเร็วในการชาร์จมือถือรุ่นต่างๆ ที่ทดสอบโดยเว็บ Hometop ได้ผลลัพธ์ดังนี้- Huawei Super Charge : Honor 10 : 3,400 mAh : 22.5W
- Dash Charge : OnePlus 6 : 3,300 mAh : 20W
- Samsung Adaptive Fast Charge : Samsung Galaxy S9+ : 3,500 mAh : 18W
- Turbo Charge : Moto Z2 Force : 2,730 mAh : 15W
- Qualcomm Quick Charge 3.0 : LG G7 ThinQ : 3,000 mAh : 18W
- Pump Express 3.0 : Ulephone T1: 3,680 mAh : 18W
- USB-PD : Google Pixel 2 XL : 3,520 mAh : 10.4W
- Apple Fast Charge : iPhone X : 2,716 mAh : 29W
![]() |
เวลาที่ใช้ในการชาร์จ 0-100% (ยิ่งน้อยยิ่งเร็ว) |
![]() |
ปริมาณไฟที่ชาร์จเข้าต่อนาที mAh/min (ยิ่งมากยิ่งเยอะ) |
และถัดมาที่เราอยากให้ชมคือผลจากเว็บไซต์ XDA โดยทดสอบกับมือถือดังต่อไปนี้
- Huawei SuperCharge : Huawei Mate 9 : 4,000 mAh
- Dash Charge : OnePlus 3 : 3,000 mAh
- Adaptive Fast Charge : Samsung Galaxy S8+ : 3,500 mAh
- Qualcomm Quick Charge 3.0 : LG V20 : 3,200 mAh
- USB-PD : Google Pixel XL : 3,450 mAh
![]() |
เวลาที่ใช้ในการชาร์จ |
![]() |
เวลาในการชาร์จ (ปรับค่าเนื่องจากความต่างของความจุแบตเตอรี่แล้ว) |
ด้านความเร็วในการชาร์จ ผลลัพธ์มีการพลิกโผนิดหน่อยตรง Qualcomm กับ Samsung นอกนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
![]() |
อุณหภูมิระหว่างชาร์จ |
นอกจากความเร็วในการชาร์จแล้ว ทาง XDA ยังมีการวัดอุณหภูมิในการชาร์จด้วย โดยใช้ข้อมูลอุณหภูมิแบตเตอรี่ที่ส่งมาจากระบบเลย เนื่องจากทาง XDA ไม่สามารถทำให้อุณหภูมิเครื่องตอนเริ่มต้นชาร์จเท่ากันทุกเครื่องได้ จึงมาพิจารณาที่อุณหภูมิที่เปลี่ยนไปแทน ซึ่งค่าที่ได้ก็ค่อนข้างน่าสนใจ
- Samsung Adaptive Fast Charge มีอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปน้อยที่สุด เมื่อดูกราฟความร้อนจะเห็นว่าอุณหภูมิค่อยๆ เพิ่มอย่างช้าๆ จนเกือบจะใกล้เต็มถึงเริ่มลดอุณหภูมิ เมื่อชาร์จเสร็จเครื่องจะร้อนกว่าตอนเริ่มชาร์จ
- Qualcomm Quick Charge มีพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับของ Samsung (เพราะมีพื้นฐานเทคโนโลยีเหมือนกันด้วย)
- USB-PD สังเกตว่าความต่างของอุณหภูมิระหว่างเริ่มชาร์จจนถึงอุณหภูมิสูงสุดนั้นมากกว่ามาตรฐานชาร์จอื่นๆ เลย (ประมาณ 10 องศาได้) หลังจากชาร์จไปประมาณ 25 นาทีความร้อนก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ช่วงประมาณนาทีที่ 40 อุณหภูมิเครื่องก็เริ่มร้อนน้อยกว่าตอนเริ่มชาร์จ
- Dash Charge อุณหภูมิเพิ่มจนถึงจุดสูงสุดช่วง 30 นาทีแรก ก่อนที่อุณหภูมิจะลดลงจนเย็นกว่าตอนเริ่มชาร์จ
- Huawei SuperCharge พฤติกรรมคล้ายๆ Dash Charge แต่อุณหภูมิลดลงน้อยกว่า Dash Charge
![]() |
เวลาที่ใช้ในการชาร์จขณะใช้งานไปด้วย |
![]() |
เวลาที่ใช้ในการชาร์จขณะใช้งานไปด้วย (ปรับค่าเนื่องจากความต่างของความจุแบตเตอรี่แล้ว) |
- USB-PD ใช้เวลาเท่าเดิมเป๊ะ
- Dash Charge ใช้เวลามากกว่าเดิมแค่ 1 นาทีเท่านั้น
- มาตรฐานอื่นๆ ใช้เวลาเพิ่มมาประมาณ 12 นาที
- Samsung Adaptive Fast Charge ใช้เวลามากกว่าเดิมเกือบ 1 ชั่วโมง!
![]() |
อุณหภูมิระหว่างชาร์จขณะใช้งานไปด้วย |
ความร้อนและปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม
อุณหภูมิเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม การชาร์จที่ดีไม่ควรทำตอนเครื่องร้อน รวมถึงการชาร์จก็ไม่ควรสร้างความร้อนที่มากเกินไป เมื่อประกอบกับข้อมูลจากกราฟข้างต้นจึงบอกได้ว่าไม่ควรใช้งานระหว่างชาร์จ เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลงและการใช้เทคโนโลยีชาร์จเร็วส่วนใหญ่มักจะเร่งความเร็วในการชาร์จเพียงช่วงแรกเท่านั้น เพื่อป้องกันความร้อนที่สูงเกินไป ซึ่งเป็นวิธีป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วเช่นกัน และทาง Apple ก็ใช้วิธีชาร์จแบตเตอรี่ถึงแค่ 90% ในกรณีที่เครื่องมีความร้อนสูง เพื่อป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม อย่างไรก็ตาม หากไม่จำเป็นต้องการการชาร์จไฟที่รวดเร็วควรหลีกเลี่ยงการใช้ชาร์จเร็วเพื่อรักษาอายุของแบตเตอรี่
วิธีชาร์จแบตเตอรี่เพื่อลดโอกาสแบตเตอรี่เสื่อม
- อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดจนเหลือ 0% มีความเชื่อผิดๆ ว่าต้องใช้แบตให้หมดเกลี้ยงก่อนค่อยชาร์จไฟ ซึ่งเกิดมาจากแบตเตอรี่สมัยก่อนที่เป็น Lead Acid Cell ในยุคนั้นการชาร์จบ่อยๆ จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว แต่แบตเตอรี่ในยุคนี้เป็น Lithium ที่ออกแบบมาให้ชาร์จเมื่อไรก็ได้ แต่ห้ามปล่อยให้แบตเตอรี่หมดจนเหลือ 0 เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อม
- อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่ต่ำกว่า 60% และควรชาร์จไฟในช่วง 30-80% เพราะการใช้งานในช่วงนี้จะทำให้แบตเตอรี่มีแรงดันไฟฟ้าอยู่ในช่วงที่เหมาะสมที่สุด เมื่อนำเงื่อนไขทั้งคู่มารวมกันก็สรุปได้ว่าเราควรชาร์จแบตเตอรี่ในช่วง 60-80%
- อย่าเสียบชาร์จข้ามคืน แม้ว่ามือถือยุคนี้จะมีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็ม แต่ในทางปฏิบัติแล้วเมื่อชาร์จเต็มและทำการหยุดจ่ายไฟ สักพักพอแบตเตอรี่ลดก็จะทำการชาร์จใหม่ วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งเหตุผลที่ระบบไม่ชาร์จไฟให้เต็ม 100% ตลอดเวลา เพราะจะขัดกับข้อที่ 2. ที่เราบอกไว้ว่าควรชาร์จในช่วง 60-80% แต่ต้องย้ำว่านี่เป็นคนละเรื่องกับความเชื่อผิดๆ ที่ว่าการเสียบชาร์จค้างไว้ตลอดจะเกิดเหตุการณ์ Overcharge เพราะที่ชาร์จสมัยใหม่จะตัดไฟอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่เต็ม และเมื่อแบตเตอรี่ลดลง จะชาร์จด้วยกระแสไฟอ่อนๆ เท่านั้น
- ไม่ใช้งานโทรศัพท์ระหว่างชาร์จ เพราะการใช้งานโทรศัพท์ระหว่างชาร์จ จะทำให้แบตเตอรี่ลดลงในขณะที่มีการชาร์จไฟเข้า อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ mini cycle คือแบตเตอรี่บางส่วนถูกใช้งานหนักกว่าส่วนอื่นๆ ทางที่ดีที่สุดควรปิดเครื่องแล้วชาร์จ (บางรุ่นจะเปิดเองเมื่อชาร์จด้วยเหตุผลด้าน Security เช่น เครื่องถูกขโมยแล้วนำไปชาร์จ จะได้โทรเข้าหรือติดตามพิกัดได้)
- รักษาอุณหภูมิในการใช้งานและชาร์จไฟให้อยู่ในช่วง 25 – 30 องศาเซลเซียส ซึ่งในจุดนี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับระบบชาร์จเร็ว ที่มักทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงกว่าปกติ
Qnovo เทคโนโลยีป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม
ผู้ผลิตส่วนใหญ่เน้นพุ่งเป้าไปที่การทำอย่างไรเพื่อเพิ่มความเร็วในการชาร์จอย่างปลอดภัย แต่แทบไม่มีใครที่ให้ความสำคัญกับอายุของแบตเตอรี่เลย ยกเว้น Qnovo ที่เน้นการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีในการยืดอายุแบตเตอรี่ โดยสถิติแบตเตอรี่ที่เสื่อมเร็วที่สุดที่ Qnovo เคยเปิดเผยคือ Samsung Galaxy Note 4 ที่แบตเตอรี่เสื่อมด้วยอายุการใช้งานเพียงแค่ 10 เดือนเท่านั้นหลังจากมีข้อมูลชุดนี้ออกมาช่วงปี 2016 ทำให้ทาง Sony ได้ร่วมมือกับ Qnovo ในการใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการจัดการระบบชาร์จไฟ พร้อมกับพัฒนาระบบ Sony Battery Care ที่ช่วยแก้ปัญหาการชาร์จข้ามคืนตามที่เกริ่นไว้ในหัวข้อก่อนหน้านี้ ด้วยการชาร์จค้างไว้ที่ 90% และจะชาร์จให้เต็ม 100% เมื่อเราตื่นนอน ส่งผลให้ในภาพรวมแล้วมือถือของ Sony มีแบตเตอรี่ที่เสื่อมช้ากว่าคู่แข่ง นอกจากนี้ Qnovo ยังสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจจนทำให้ Qualcomm และ Intel หันมาสนใจ

โดย Qualcomm Snapdragon รุ่นใหม่อย่าง 835, 845, 660 ก็รองรับ Qnovo ด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตมือถือแต่ละแบรนด์ว่าจะนำ Qnovo ไปใช้ด้วยหรือไม่
ที่มา : XDA 1, 2, Huawei, Motorola, MediaTek 1, 2, Android Authority 1, 2, Cnet, imediastore, USB, qnovo ,
COMMENTS